เทศน์บนศาลา

จิตนักท่องเที่ยว

๒๔ มิ.ย. ๒๕๔๕

 

จิตนักท่องเที่ยว
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๕
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ธรรมะ ธรรมเป็นเครื่องอยู่อาศัยของจิต

เครื่องอยู่อาศัย ถ้ามันเป็นเครื่องอยู่อาศัยของจิต

“จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว” จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยวท่องเที่ยวไปในภพชาติต่างๆ ถ้ามันท่องเที่ยวไปในความมืดความบอดมันจะไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ แล้วจะท่องเที่ยวไปในตามวัฏฏะ ตามบุญตามกุศลของตัวเองที่สร้างสมมา จะเป็นไปตามอำนาจวาสนาของจิตดวงนั้น

“จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว” เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ท่องเที่ยวในอารมณ์ของตัวไง ท่องเที่ยวอยู่ในความรู้สึกของตัว ท่องเที่ยวอยู่ในความเห็นของตัว ท่องเที่ยวไปเพราะอะไร เพราะมันไม่รู้สึกตัวมันเอง จิตนี้ไม่รู้สึกตัวเราเองนะ คิดไปในอารมณ์ต่างๆ ตามกระแสของโลกไป ตามความเห็นของเขาหมุนเวียนไปในโลกเขาอย่างนั้น นั้นคือนักท่องเที่ยว ท่องเที่ยวไปตั้งแต่ข้างนอก ข้างนอก ตั้งแต่วนไปในวัฎฎะ อยู่ในวัฏฏะนั้นท่องเที่ยวไปในภพชาติๆ นั้นน่าสงสาร น่าสงสารเพราะว่ามันประสบแต่สิ่งของเดิมๆ นั่นน่ะ

ทุกข์นี้มีประจำโลก ทุกข์นี้มีอยู่โดยสังขารโดยอยู่ธรรมชาติของมัน เราจะต้องพบสภาวะแบบนี้ตลอดไปแล้วไม่มีทางออก ทุกข์แล้วไม่มีทางออก สุดโต่งขนาดไหน เราพยายามจะช่วยตัวเองขนาดไหนก็ช่วยตัวเองไปตามประสาของความคาดความหมาย ความคาดความหมายของใจ ใจคาดหมายขนาดไหนก็ได้ขนาดที่จะคาดหมายได้ลึกซึ้งขนาดไหนมันก็วนอยู่ นั่นน่ะ ท่องเที่ยวในอารมณ์ของตัวเอง “การคาด การหมาย” จนกว่าจะเจอธรรมไง

นี่ไง ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นสมบัติของเราขึ้นมาได้ไหม? ถ้าเป็นสมบัติของเราขึ้นมาได้ เราต้องถามตัวเราเอง เราถามตัวเราเองว่า “เราพอใจกับสิ่งนี้ไหม” ความจงใจของเราจะสร้างสมคุณงามความดีของเราขึ้นมาได้ไหม

ถ้าสร้างสมความขึ้นมามันก็ท่องอยู่ในธรรมะ จิตนี้ก็ท่องไปในธรรมะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้ายังไม่เป็นผล ท่องไปในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่องไปในความรู้สึกเบิกบาน รู้สึกความรู้สึกของตัว มันทันกิเลส ทันกิเลสในความรู้สึก ทันกิเลสในทางความชั่วคราว นี่การทันกิเลสทันอย่างนั้น ทันกิเลสเฉยๆ

ถ้าทันกิเลสให้กิเลสสงบตัวลง นั่นน่ะ เราท่องไปในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันจะมีความเบิกบาน เราศึกษาธรรม ศึกษาเข้ามาแล้วมันจะมีความชุ่มชื้นเหมือนกับคนจะมีทางออก คนจะมีทางออก ออกจากทุกข์ออกจากโศกในหัวใจของเรา ทุกข์โศกในหัวใจของเรามันผลักไส มันเผาลนใจนะ เผาลนใจของเราให้เร่าร้อนต่อไป

ถ้าเราเห็นคุณประโยชน์ของเรา เราต้องพยายามขวนขวายในการประพฤติปฏิบัติ

เพราะท่องให้อยู่ในธรรม ให้มันอยู่ในธรรมได้

ว่า “ศาสนาเป็นยาเสพติด” มันเสพติดไม่จริงน่ะสิ ถ้าศาสนาเป็นยาเสพติด มันเสพติดจริง เราเข้าถึงศาสนา ทำไมมันบางครั้งมันก็มีความพอใจ บางครั้งก็มีความขัดใจ ความขัดใจของเรานี่นะมันเสพไม่ติด พอมันเสพไม่ติดมันก็มีความขัดใจ มีความไม่พอใจในหัวใจนั้น ขัดข้องหมองใจ มีความเศร้าสร้อย นั่นน่ะ มันเสพไม่ติด ถ้ามันเสพติด มันเสพติดไป นี่มันเป็นคำพูดของเขา เป็นการกล่าวตู่ เป็นการว่ากล่าวร้ายป้ายสีในเรื่องของศาสนา ในเรื่องของคุณงามความดี กิเลสเป็นอย่างนั้น

กิเลสมันเหมือนหมาบ้า มันกัดทุกอย่างที่ขวางหน้าของตัวเอง กัดหมด กัดทั้งนั้นไม่ไว้หน้าสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นของที่ประเสริฐ ประเสริฐสำหรับเห็นเป็นทางออกของเรา มันยังมีทางเอามาเป็นศัตรูเป็นคู่อาฆาตต่อกันได้ นั้นกิเลสเป็นเรื่องเป็นภัยมาก กิเลสในหัวใจของสัตว์โลกเป็นภัยกับสัตว์โลกดวงนั้น สัตว์โลกดวงนั้นพยายามชำระกิเลสของตัวเองให้ได้ กิเลสของตัวเองต้องทำให้มันสงบตัวลงเข้ามาให้ได้ ถึงจะมีแก่ใจ มีความเห็นของตัวเองขึ้นมาว่า ตัวเองขึ้นมา จะเป็นปัญญาของตัวเองขึ้นมา

ปัญญาของตัวเองจะเกิดขึ้นมาได้ต้องมีความวิริยอุตสาหะ ความเพียรของเรา เพราะปัญญาในศาสนานี้เป็น “ภาวนามยปัญญา” ภาวนามยปัญญาเกิดจากการภาวนา เกิดจากการมุมานะ อุตสาหะ ไม่เกิดขึ้นมาลอยๆ เกิดขึ้นมาลอยๆ ไม่ได้ เกิดขึ้นมาลอยๆ นั้นเป็นธรรม เวลาธรรมเกิดขึ้น เกิดขึ้นจากอำนาจวาสนาของสัตว์โลก ถ้าสัตว์โลกมีอำนาจวาสนาสร้างสมขึ้นมา มันจะมีธรรมผุดขึ้นมา มีคำสั่งสอนผุดขึ้นมา เป็นธรรม เป็นคำ เป็นคำผุดขึ้นมา อันนั้นเป็นธรรมผุดขึ้นมาก็เป็นธรรมเฉยๆ

ธรรมผุดขึ้นมาจากความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบมันจะมีสิ่งนั้นเกิดขึ้นในหัวใจ มันจะวัดค่าของใจได้ว่าใจมีอำนาจวาสนามาขนาดไหน ใจทุกข์ใจยากขนาดไหน บางทีไม่มีมันก็ไม่มี ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องไปกังวลกับมัน สิ่งนี้เราไม่กังวล ไม่ต้องไปกังวลกับสิ่งที่ว่าจะต้องมีกับใจของเรา จะมีกับใครเรื่องของเขา เรื่องอำนาจวาสนาของเขา อำนาจวาสนาของเรา เราอยู่ในความเพียรของเรา เราต้องพยายามสะสมของเราขึ้นมา ถ้าเราสะสมของเราขึ้นมา เราทำความเพียรของเราขึ้นมา ความเพียรในหัวใจของเรา เรารู้ของเราขึ้นมา มันทันกันน่ะ

จากความที่ว่าก้าวเดินตามไม่ทัน ก้าวเดินตามกิเลสไม่ทัน มันจะก้าวเดินตามกิเลสทัน ถ้าก้าวเดินตามกิเลสทันมันจะเข้าถึงความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบขึ้นมา นั่นน่ะ เครื่องอยู่อาศัยของใจ ใจจะพอมีที่อาศัยได้ ถ้าใจพอมีที่อาศัยได้มันมีความอบอุ่นขึ้นมา ถ้าใจอบอุ่นขึ้นมามันก็มีความสุขใช่ไหม สุขในหัวใจของเราไม่ต้องไปหาที่ไหน หาได้ในร่างกายนี้ ให้ท่องเที่ยวอยู่ในธรรม ใจนี้จะท่องเที่ยวขนาดไหน พยายามดัดแปลงเข้ามาให้ท่องเที่ยวอยู่ในธรรม ให้ท่องเที่ยวอยู่ในธรรมแล้วพยายามฝึกฝนตนขึ้นมาให้เป็นธรรมของใจดวงนั้น

“ท่องเที่ยวในธรรม” กับ “เป็นธรรมของใจดวงนั้น” ต่างกัน ต่างกันในการที่ว่ามันประสบพบเห็น ท่องเที่ยวเป็นของขอยืมมา เราท่องเที่ยวไป ท่องเที่ยวไปในขันธ์ จิตนี้อารมณ์เกิดขึ้นมาเห็นสังขารมันปรุงมันแต่งขึ้นมา เกิดกลายเป็นอารมณ์ขึ้นมา อารมณ์ขึ้นมาแล้วเราก็แยกแยะไม่ได้ แยกแยะไม่ได้เพราะมันเป็นธรรมชาติของใจเป็นแบบนั้น

ขันธ์ ๕ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าธรรมวางไว้เป็นขันธ์ ๕ เราถึงได้รู้ว่าเป็นขันธ์ ๕ ถ้าไม่วางไว้เราจะรู้ว่าอะไรเป็นขันธ์ ๕ ไหม? เราก็ไม่รู้ ไม่มีการบัญญัติ เห็นไหม สมมุติบัญญัติ บัญญัติขึ้นมาให้เราสื่อกันขึ้นมา บัญญัติขึ้นมาให้เราเข้าใจเรื่องของธรรมขึ้นมา ถ้าเราเข้าใจเรื่องของธรรมขึ้นมามันเป็นความเข้าใจของเรา เราเริ่มเข้าใจ ท่องไปในธรรม ท่องไปเถิดในธรรม มันจะเป็นบุญกุศลของใจดวงนั้น

“บุญกุศล” แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เทวดาฟังธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันต์ เป็นพระอริยบุคคลขึ้นมา เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมามากมายมหาศาล แม้แต่พวกเทวดาเขายังต้องการท่องไปในธรรม แต่เขาไม่มีโอกาสวาสนา เขาต้องลงมาฟังเทศน์ในภพมนุษย์นี้ นี้ก็เหมือนกัน เรามีอำนาจวาสนามากกว่าเขา เราสามารถพยายามสะสมของเราขึ้นมา เราสะสมของเราขึ้นมา เราฟังธรรม ฟังธรรมชุบมือเปิบ “ชุบมือเปิบ” ผู้ที่แสวงหามากว่าจะได้ ดูเราประพฤติปฏิบัติทุกข์ยากขนาดไหน เราปฏิบัติทุกข์ยากกว่าจะได้ธรรมมาแต่ละขั้นแต่ละตอน มันทุกข์ยากมาก ความทุกข์ยากเพราะอะไร เพราะกิเลสมันผลักไส เพราะกิเลสมันต่อต้าน กิเลสในหัวใจของสัตว์โลกมันต่อต้าน ต่อต้านไม่ให้สิ่งต่างๆ เข้าไปในเนื้อของธรรม

“ธรรมโอสถ รสของธรรมชนะทั้งรสทั้งปวง”

แต่เราไม่เคยได้ดื่มกินรสของธรรม ใจนี้ไม่เคยได้ดื่มกินรสของธรรม ใจนี้ได้ดื่มแต่รสของกิเลส แต่ท่องไปในธรรมนี้เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมยืมมามันเลยเป็นสุตมยปัญญา “สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา” ให้มันละเอียดขึ้นไป ปัญญามันจะสะสมตัวมันเองขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปเราจะทำของเราได้ เราต้องทำของเราได้ ทำของเราขึ้นไปจนกว่ามันจะถึงจุดหมายปลายทาง

ถ้าจุดหมายปลายทาง นั่นน่ะไม่ต้องท่องไปในวัฏฏะ ไม่ต้องท่องไปในต่างๆ มันจะสมบูรณ์พูนผลในหัวใจ หัวใจจะมีความสุขในหัวใจดวงนั้น สุขใดๆ ในโลกนี้ไม่มีหรอก ในโลกนี้มันเป็นเครื่องเคียงของชั่วคราว ของชั่วคราวเท่านั้น แค่ชีวิตหนึ่งนะ ชีวิตนี้มีเท่าชีวิตหนึ่ง แล้วชีวิตเรามีความสุขสมความปรารถนา จะมีมากหรือมีน้อยกว่าความทุกข์ในหัวใจ ทุกข์ในหัวใจจะมีมากกว่าแต่มันต้องทนเอา สิ่งที่ไม่มีทางออกเราก็ทนเอา ในเมื่อมีทางออก เราทำไมจะไม่หาทางออก

ถ้าเราหาทางออกของเราได้ ผู้นั้นเป็นผู้ที่ประเสริฐ ผู้ที่ประเสริฐเกิดมาในภพพระพุทธศาสนา แล้วได้ประโยชน์จากศาสนา ได้ใจนั้นมีประโยชน์ขึ้นมา ถ้าเราไม่ได้พบพระพุทธศาสนา แล้วเราไม่ได้ประโยชน์จากศาสนาเลย มันจะประเสริฐไปตรงไหน ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ ทำไมสั่งสอนเทวดาได้ ครูบาอาจารย์ทำไมสั่งสอนเทวดาได้ ทำไมเทวดามาฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ของเรา

เพราะครูบาอาจารย์ของเรามันมีธรรมในหัวใจไง ธรรมในหัวใจ คือ ความผ่องแผ้วในหัวใจนั้น ในหัวใจนั้นจะเข้าใจเรื่องสิ่งต่างๆ เข้าใจในเรื่องอาการของใจ เข้าใจในเรื่องอาการของใจมันท่องไปในอารมณ์ของใจ

เวลามันท่องไป เราไม่เข้าใจ เราไม่เข้าใจเรื่องใจของเรานี้มันท่องไปในอารมณ์นั้น มันเป็นเรา เราเป็นอารมณ์ อารมณ์กับเรามันเป็นอันเดียวกัน สิ่งที่เป็นอันเดียวก็หมุนเวียนไป เราก็คิดหมุนเวียนไป นั่นน่ะ มันจับต้นชนปลายไม่ได้ เหมือนกับเราเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ต่างๆ แล้วเราก็เป็นไปในส่วนหนึ่งของเขา เราเป็นส่วนหนึ่งของอารมณ์ความคิด เราเป็นส่วนหนึ่งแล้วมันก็ฉุดกระชากลากเราไป เราก็หมุนเวียนไปในความคิดนั้น นั่นมันเป็นแบบนั้น มันถึงท่องไปในอารมณ์อย่างนั้น นั่นมันเป็นกิเลสมันผูกมัดไว้

กิเลสมันผูกมัดความคิดของเรากับสิ่งนั้นมันหมุนเวียนกันไป มันถึงเป็นไปตามความทุกข์ ให้เป็นความทุกข์กับใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะมีความทุกข์ มีความทุกข์เพราะว่าอะไร เพราะมันแก้ไขตัวมันเองไม่ได้ มันก็หมุนเวียนไป นั่นน่ะ เราถึงต้องกำหนดคำบริกรรม เปลี่ยนอาหาร เปลี่ยนความรู้สึก ต้องเปลี่ยนเลย โยนอารมณ์ทิ้ง ไม่ไปตามอารมณ์นั้น อารมณ์นั้นจะหมุนไปขนาดไหนเราจะไม่ตามมันไป เราจะย้อนกลับ สิ่งที่ย้อนกลับมา เราจะย้อนกลับเข้ามาในความรู้สึกของเรา ความรู้สึกส่วนที่เป็นอิสระเสรีภาพ

ความสงบของใจ ใจสงบขึ้นมาเพราะอะไร เพราะมันไม่หมุนไปในขันธ์นั้น ถ้ามันหมุนไปในขันธ์นั้นมันก็เป็นแขกจรมา แขกที่จรมา มันเสวยอารมณ์ขึ้นไปแล้ว มันเสวยอารมณ์ขึ้นไปมันก็เสวย มันก็เป็นความคิดความเห็นของมันไป ถ้ามันไม่เสวยอารมณ์ มันจะไปเสวยอะไร มันตั้งตัว มันทรงตัวมันเองไม่ได้ ในเมื่อทรงตัวเองไม่ได้ก็ต้องใช้การบริกรรม คำบริกรรม พุทโธ พุทโธ เพื่อให้มันเกาะเกี่ยวกับสิ่งนั้น เด็กหัดเดินมันต้องเกาะกับลูกกรง เกาะกับสิ่งต่างๆ ไป นี้ก็เหมือนกัน เกาะเกี่ยวกับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป ที่มันท่องไปในธรรมะนี้ท่องไปโดยสัญญา แต่อันนี้จะเป็นเนื้อหาสาระแล้ว ไม่ใช่เป็นสัญญา เป็นเนื้อหาสาระ เป็นความจริงขึ้นมา เป็นสิ่งที่จริงจากการประพฤติปฏิบัติ จริงขึ้นมาจากผู้นั้น ใจจะทรงตัวขึ้นมาเป็นความจริงขึ้นมา

ถ้าจริงขึ้นมามันก็เป็นประโยชน์กับใจดวงนั้น นั่นน่ะ พอมันจะสงบเข้ามา ถ้ามันมีบริกรรมบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า ใหม่ๆ มันจะขัดแย้งกับตัวเอง ใหม่ๆ มันจะขัดแย้ง โต้แย้งกับความเห็นของเรา มันจะไม่กลมกลืนกันหรอก เพราะกิเลสมันกลัวธรรมไง กลัวสิ่งนี้จะเจริญงอกงามในใจของเราเอง ถ้าเจริญงอกงามของใจเราเอง มันก็มีแต่อาวุธต่อสู้กันไง

อาวุธไง “ธรรมาวุธ” จะประหัตประหารกิเลสในหัวใจของเรา ในเมื่อจะเป็นอาวุธขึ้นมา เขาต้องผลักไสไม่ให้อาวุธเรามีขึ้นมาให้ได้ นั่นน่ะ กิเลสมันฉลาดกับเรา เรานี่โง่กว่ากิเลส เราไม่เข้าใจเรื่องของกิเลส เราก็หมุนเวียนไป เราก็เดินตามไป เพราะกิเลสมันเป็นเรา

คำว่า “เป็นเรา” มันถึงว่าเราไว้เนื้อเชื่อใจเรา เราจะไม่ไว้เนื้อเชื่อใจใครหรอก จะปรึกษาหารือกับใคร เราก็จะหาคนที่สนิทชิดเชื้อที่พอไว้ใจได้ แต่นี้กิเลสกับเรามันเกิดมากับเรา มันเป็นเนื้อเดียวกันเลย มันเป็นสิ่งที่สุขสม เป็นภวาสวะ เป็นอนุสัยนอนเนื่องมากับใจ มันดำริ

“มารเอย” นี่พระพุทธเจ้าเย้ยมาร “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา จะไม่ให้เธอเกิดอีก”

แต่เราไม่ใช่เย้ยมาร มารมันควบคุมเราต่างหาก มารมันควบคุมใจของเราแล้วก็หมุนเวียนไปตามอำนาจของพญามาร นั่นน่ะ ท่องไปพร้อมกับพญามารขับไสไปกับหัวใจ จิตท่องเที่ยวไปแบบนั้น ท่องเที่ยวไปมีแต่ความทุกข์ความยาก ความทุกข์ความยาก ความสุขพอกิเลสมันพลอยว่า มันจะเป็นจะตายขึ้นมา มันก็จะให้เราได้ผ่อนหายใจเท่านั้น

ความสุขของโลก คือความพอใจเท่านั้น

ความพอใจ ความพอใจเป็นอะไร? เป็นเรื่องว่าท่องไปในอารมณ์ไหม?

ท่องไปในอารมณ์แน่นอน เพราะอารมณ์มันความพอใจ มันมีสิ่งใดแสวงหาสิ่งใดมา สมความปรารถนาก็มีความสุข ลูบคลำอยู่กับสิ่งนั้นชั่วคราว จิตมันลูบคลำ ลูบคลำความพอใจ ลูบคลำสิ่งนั้นให้สิ่งนั้นมันเป็นสมบัติของเรา เราอุ่นใจ มันเป็นไปตามสิ่งนั้นไหม?

มันไม่เป็นไปตามความเป็นจริงหรอก สมบัตินี้ผลัดกันชม สมบัติเป็นสมบัติของโลกของสิ่งที่ว่ามีอยู่แล้วโดยดั้งเดิม มีอยู่ดั้งเดิม ใครฉลาดหรือไม่ฉลาด ผู้ที่ฉลาดแสวงหาสิ่งนั้นเป็นประโยชน์กับเรา ผู้ที่ไม่ฉลาดไปยึดมั่นถือมั่นสิ่งนั้น สิ่งนั้นจะไปให้โทษกับใจดวงนั้น มันไม่ได้ขึ้นมาตามความปรารถนามันก็ทำให้ความเร่าร้อนกับใจเกิดขึ้น

นี่เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติของเรา เราประพฤติปฏิบัติไม่สมใจของเรา เราพยายามแสวงของเรา เราก็มีความน้อยเนื้อต่ำใจ ความน้อยเนื้อต่ำใจ นั่นน่ะ กิเลสมันใช้งานโดยเต็มที่เลยนะ เราต้องมีความโต้แย้งตลอด ธรรมะนี่จะโต้แย้งกิเลส กิเลสมันพยายามผลักไสไป กิเลสมันจะพยายามจะดึงไปให้เราเลิกในการประพฤติปฏิบัติ ให้เราเลิกการท่องไปในธรรม

ท่องไปในสัจจะความจริง ท่องไปในสัญญานั้น สัญญาส่วนหนึ่ง ท่องไปคือการประพฤติปฏิบัติ ถ้าประพฤติปฏิบัติจริง ได้จริง ทำได้จริง สมจริงขึ้นมาในหัวใจขึ้นมา มันจะเห็นเป็นรูปธรรมขึ้นมาในหัวใจจริงๆ นะ ใจนี้จะผ่องแผ้ว ใจนี้จะเบิกบาน มีความสงบของใจ ใจนี้จะเวิ้งว้างขนาดไหน จะมีความสุขขนาดไหน นั่นน่ะ มันเป็นกับใจดวงที่ประเสริฐ จับต้องกับสิ่งนั้นได้แล้วจะประเสริฐกับใจดวงนั้น ใจดวงนั้นมีความสุขขึ้นมา แล้วมีความสุขขึ้นมา

ต้องมีความกล้าหาญ มีความใช้ประโยชน์กับสิ่งนี้ ถ้ามันมีความสุขขึ้นมาแล้วนอนจมล่ะ มีความสุขขึ้นมา “ฉันมีความสุข ฉันมีความพอใจจะอยู่กับสิ่งนั้น” ถ้านอนจมอยู่กับสิ่งนั้น สิ่งนั้นก็เสื่อมสภาพ สิ่งนั้นต้องหลุดจากมือไป

คนเรา ครูบาอาจารย์ จากมือหนึ่ง จากใจดวงหนึ่งส่งต่ออีกใจดวงหนึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาจากในหัวใจส่งต่อให้ปัญจวัคคีย์ก่อนเลย ส่งต่อ “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” มีผู้สืบต่อ มีผู้รู้ต่อไป ศาสนาจะมั่นคงขึ้นมา มีผู้สืบต่อตลอดไป นี่ก็เหมือนกัน ถ้าใจของครูบาอาจารย์เป็นผู้ชี้นำ แล้วมีผู้ที่พยายามปฏิบัติตนขึ้นมา มันเป็นสมบัติของใจดวงนั้นใช่ไหม ใจดวงนั้นรู้ขึ้นมา ใจนั้นสว่างไสวขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน เราทำความสงบของใจขึ้นมามันเป็นสมบัติของใจของเราขึ้นมา มันเป็นสมบัติของเรา สมบัติของใจ นั่นน่ะ มรรคมันเกิดขึ้นมาองค์แรก สัมมาสมาธิเกิดขึ้นมา มันใช้ปัญญาขนาดไหน พอใช้ความดำริขนาดไหน ใช้ปัญญาขนาดไหน มันเป็นปัญญาในวงของสมถธรรม

“สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน” สมถกรรมฐานนี้ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม มรรคอริยสัจจังไม่เกิดขึ้น มันก็พอทำได้ มันทำของเขาได้ ความทรงไว้ในฌาน ในสมาบัตินี้มีมาโดยดั้งเดิม สิ่งที่มีมาโดยดั้งเดิมแต่เขาใช้ไม่เป็น ใช้ไม่เป็นเพราะเขาพลิกใจไม่เป็น เขาใช้สิ่งนี้เป็นสมุฏฐาน สิ่งนี้เป็นประโยชน์ของเขา เห็นไหม เหาะเหิน เดินฟ้า เข้าสมาบัติแล้วมีความรู้วาระจิตต่างๆ เขารู้มาโดยดั้งเดิม สิ่งนี้มีมาก่อนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมอีก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปเรียนกับเขา แต่มันไม่ได้สามารถชำระกิเลสได้ มันไม่สามารถจะชำระกิเลสออกไปจากใจได้ มันต้องย้อนกลับเข้ามา ยกขึ้นมา เราก็ทำความสงบของใจเข้ามา เดี๋ยวนี้มันเป็นว่า เราไม่เชื่อเรื่องนามธรรม เราไปเชื่อเรื่องวัตถุสิ่งของต่างๆ เชื่อรูปธรรม สิ่งที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ สิ่งนั้นเป็นวิทยาศาสตร์ สิ่งนั้นมีคุณค่า เชื่อกันสิ่งนั้นแล้วก็ยกย่องสิ่งนั้น แต่ไม่เชื่อเรื่องนามธรรม

เรื่องนามธรรม คือเรื่องนามธรรมที่ว่า สิ่งที่เป็นนามธรรมว่ามันเป็นนามธรรม นั้นมันเป็นนามธรรมของคนอื่น แต่นามธรรมของเรา เราจับต้องของเรามันเป็นรูปธรรมขึ้นมา จับต้องเป็นรูปธรรมขึ้นมา แล้วจะต้องยกขึ้นมาเป็นมรรคอริยสัจจังในหัวใจได้ ถ้ายกขึ้นมาเป็นมรรคอริยสัจจัง มันจับต้องสิ่งใด จับต้องสิ่งนั้น วิปัสสนาสิ่งนั้น จับต้องสิ่งใดต้องวิปัสสนาสิ่งนั้น

นี้จิตมันท่องเที่ยวไปในธรรมก็ต้องท่องเที่ยวไปในความเห็นของจิต

จับขันธ์ให้ได้ ถ้าจับขันธ์ได้ จับอารมณ์ได้ สิ่งที่มันเป็นอารมณ์ความรู้สึก จับขันธ์ได้ แต่เดิมมันข้องเกี่ยวไปนี่บ่วงของมาร มันจะรับรู้ไปในรูป รส กลิ่น เสียงก่อน รับรู้ในรูป รส กลิ่น เสียง นั่นน่ะ มันท่องเที่ยวในตัวมันเองแล้วมันปิดบังตัวมันเองชั้นหนึ่ง เพราะขันธ์กับจิตมันผูกไปด้วยกัน มันเป็นอารมณ์เกิดขึ้น เป็นความรู้สึกเกิดขึ้น ความรู้สึกนี้เป็นขันธ์กับจิตผูกเกิดขึ้นมาแล้วก็เกาะเกี่ยวไปในอารมณ์ของโลกเขา

เสียงต่างๆ รูปรสต่างๆ ของโลกมันหมุนออกไป นั่นน่ะบ่วงของมาร แล้วมันก็เกาะเกี่ยวกับสิ่งนั้นออกไป อาศัยสิ่งนั้นเป็นเครื่องดำรงชีวิต กิเลสมันดำรงชีวิตในเรื่องของขันธ์แล้วยังออกไปเกาะเกี่ยวข้างนอก แล้วก็เกาะเกี่ยวกับสิ่งนั้นไป ถ้าความสงบของเราขึ้นมานี่มันเห็นจากความสงบของใจ ใจนี้เป็นกัลยาณปุถุชน คือมันปล่อยวางอารมณ์เข้ามาได้ สิ่งนี้มันปล่อยวางเข้ามาได้ พยายามพิจารณาบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า จนกว่ามันจะขาดนะ มันก็ขาดได้เหมือนกันในการเกาะเกี่ยว เกาะเกี่ยวด้วยปัญญา

ปัญญาใคร่ครวญว่า สิ่งนี้มันเป็นประโยชน์กับใคร? มันไม่เป็นประโยชน์กับใคร มันเป็นประโยชน์ต่อเมื่อเราไปยึดมั่นถือมั่นต่างหาก มันเป็นประโยชน์ต่อเมื่อเรารับรู้ ถ้าไม่รับรู้มันก็ไม่มี ถ้ามันไม่มี มันมีของมันแต่เราไม่รับรู้ มันก็เก้อๆ เขินๆ ของเขาอยู่อย่างนั้น

ถ้าพยายามพิจารณาอย่างนั้นเข้า บ่อยครั้งเข้า มันจะเข้าใจตามสัจจะความจริง ถ้าเข้าใจตามสัจจะความจริง มันจะเห็นจิตของเรา มันจะเป็นอิสระเข้ามา นั่นไงกัลยาณปุถุชน จากปุถุชนคนหนาไปด้วยกิเลส เกาะเกี่ยวไปกับควบคุมจิตตัวเองไม่ได้ ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ มันจะเป็นไปตามอำนาจของเขา คิดสิ่งใดเกาะเกี่ยวสิ่งนั้น นั่นน่ะ “บ่วง” มันติดบ่วงไปตลอด มันติดบ่วงของโลก นี่บ่วงของวัฏฏะ

เพราะสิ่งนี้มี ถึงทำให้เราให้คุณค่า ให้คุณค่าก็ประพฤติปฏิบัติตามสิ่งนั้นไป ถ้าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์เราก็ดีใจไปกับสิ่งนั้น สิ่งนั้นเป็นโทษเราก็โกรธ ไม่พอใจกับสิ่งนั้น แต่สิ่งนั้นก็ให้คุณค่าแก่ใจ ต้องผูกพันไปกับสิ่งนั้น นี่ “บ่วงของมาร” บ่วงให้ใจวนเวียนอยู่ในวัฏฏะอยู่ในอำนาจของเขา

แล้วเราพิจารณาซ้ำ ใช้ปัญญาพิจารณาสิ่งนี้ มันจะปล่อยวาง ปล่อยวางเข้ามาจนขาดออกไป จนขาดออกไป จิตนี้เป็นกัลยาณปุถุชน คือสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ ควบคุมให้เป็นอิสระเสรีภาพ ออกจากที่ติดบ่วงนั้น ปล่อยบ่วงไว้ให้เก้อๆ เขินๆ นั่นน่ะ ทำใจเข้ามา นี่มันเป็นรูปธรรมขึ้นมาเพราะมันจับ เห็นสัจจะ เห็นตามความเป็นจริงเลยว่าอันนี้เป็นกัลยาณปุถุชน คือ เราควบคุมสิ่งนั้นได้ ควบคุมอารมณ์ของเราได้

ใจที่มันไม่เคยเป็นอิสระเสรีภาพ มันต้องเป็นไปตามบ่วง บ่วงของมาร มารจะรับรู้ไป นี่ท่องไปในบ่วงของมาร มารจะควบคุมไปตลอด นั่นน่ะ กิเลสมันใช้ผลประโยชน์ตลอด แต่นี้มันเกิดขึ้นมาเป็นกัลยาณปุถุชนได้ เพราะในการประพฤติปฏิบัติของเรา เราใช้คำบริกรรมต่างๆ เราใช้ปัญญาควบคุมใจของเราจนมันเห็นโทษไง เห็นโทษเพราะสิ่งนี้ให้คุณให้โทษให้ความเจ็บแสบปวดร้อนกับใจทุกครั้งเลย ถ้าใจนี้ไปเกาะเกี่ยวกับเขา แล้วจนเห็นโทษจนปล่อยวางไม่ไปเกาะเกี่ยวกับเขา เป็นอิสระเข้ามาเป็นชั้นหนึ่ง นี่กัลยาณปุถุชน

กัลยาณปุถุชนแล้วจิตนี้เริ่มจะหันกลับเข้ามา ย้อนกลับเข้ามา เพราะจะเริ่มก้าวเดินไง เริ่มก้าวเดินเป็นรูปธรรม สิ่งที่เป็นรูปธรรมแล้ว ถ้าจับต้อง พยายามหันกลับมาที่อารมณ์ของตัวเอง จับสิ่งนี้อารมณ์ของตัวเองให้ได้ อารมณ์มันเกิดเป็นนามธรรมก็จริงอยู่ แต่จับต้องเป็นรูปธรรมได้ เราเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นนามธรรมแล้วจับต้องสิ่งใดไม่ได้เลย

มันเป็นรูปธรรมขึ้นมา ถ้าเราพยายามใคร่ครวญนะ พยายามใคร่ครวญสิ่งนี้จะจับต้องสิ่งนี้ได้ จะจับต้องสิ่งนี้ได้ นั่นล่ะ ได้งาน สิ่งที่ได้งานนี้จากกัลยาณปุถุชนจะเดินโสดาปัตติมรรค จากกัลยาณปุถุชนนั้นถ้าเดินโสดาปัตติมรรค เห็นไหม ใคร่ครวญแยกแยะออกมาให้ได้ พยายามแยกแยะใคร่ครวญสิ่งนี้ว่า มันเกิดขึ้นมาแล้วมันให้ผลเป็นอะไรกับใจดวงนั้น นั่นน่ะ การพิจารณาจิตไง

จิตมันท่องเที่ยวไปในอารมณ์ต่าง ทีนี้เราท่องเที่ยวไปในอารมณ์ ท่องเที่ยวไปในอารมณ์ด้วย ท่องเที่ยวไปในธรรมด้วย ธรรมอันนี้สร้างสมขึ้นมา เราสร้างสมขึ้นมา เราแยกแยะออกมันมา มันไม่ใช่สิ่งที่ว่ามันเกิดลอยๆ มันต้องมีสิ่งที่ให้ค่า สิ่งที่ให้ค่าถึงเกิดขึ้นมาได้ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาลอยๆ หรอก โลกนี้ไม่มีของฟรี

มันจะมีให้บุญกุศล เราทำคุณงามความดีให้บุญกุศล ถ้าทำความชั่วบาปอกุศลมันจะให้โทษกับใจดวงนั้น ไม่มีสิ่งใดที่ทำแล้วไม่มีกรรมนี้ไม่ให้ค่าหรอก กรรมนี้จะให้ผลไปตลอด แต่คุณงามความดี กรรมดี อาศัยกรรมดีสะสมไป เราอาศัยคุณงามความดีวิ่งเข้าหา อาศัยคุณงามความดีพยายามวิ่งเข้าเป็นบาทเป็นฐาน ใช้กรรมดี กรรมดีลบล้างได้หมด ข้ามพ้นทั้งดีและชั่ว จะต้องปล่อยวางมัชฌิมาปฏิปทา จะปล่อยวางต่อเมื่อเราเห็นโทษของเขา

ในเมื่อยังไม่เห็นโทษของเขา เราก็ต้องหมุน มันหมุนเวียนไปธรรมชาติ แต่หมุนเวียนไปธรรมชาตินี้ แต่เราท่อง เราท่องเข้าไปในจิตของเรา ท่องเข้าไปในอารมณ์ของเรา ถ้าเราท่องเที่ยวเข้าไปในอารมณ์ของเรา เราพลิกแพลงออกมา ท่องเที่ยวด้วย ใช้ธรรมด้วย ใช้ธรรมาวุธฟาดฟัน จับสิ่งนี้แยกออก ถ้ากำลังไม่พอ มันจะลากไป ลากไปแต่เราก็ยังรู้ว่าเราเป็นผู้แพ้

วิปัสสนานี้จะเป็นผู้แพ้ไปก่อน แพ้คืออำนาจสู้สิ่งนี้ไม่ได้ สู้สิ่งที่ว่าจับเรื่องหัวใจที่มันมีอำนาจเหนือกว่า มันจะไม่ให้คิดยับยั้งความคิด ยับยั้งความเห็น ยับยั้งโทษ มันยับยั้งไม่ได้ รู้ว่าเป็นโทษอยู่ รู้ว่าสิ่งนี้มันเป็นโทษเป็นเรื่องของกิเลสมันเวียนไป แต่อำนาจของมันสูงกว่า เราถึงว่าล้มลุกคลุกคลานไป เริ่มต้นการต่อสู้ต้องเป็นอย่างนี้เกือบทั้งนั้นเลย

คำว่า “เกือบทั้งนั้น” เพราะว่า ขิปปาอภิญญาผู้ที่ปฏิบัติเร็วรู้เร็วทีเดียวรู้เร็วนั้นส่วนหนึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มัชฌิมยาม จตูปปาตญาณ จนถึงยามสุดท้าย พ้นออกไปจากกิเลส ทีเดียวพ้นออกไปจากกิเลส แต่ก็วางมรรค ๔ ผล ๔ ไว้ให้เราก้าวเดิน มรรค ๔ ผล ๔ ให้เราก้าวเดินออกไปจากทุกข์นี้ให้ได้ ออกไปจากความเป็นกังวลของใจ ถ้าความเป็นกังวลใจเกิดขึ้นมา มันย้อนกลับเข้ามา หน้าที่ของเราพยายามต่อสู้สร้างสมกำลังขึ้นมา จะมีพลังกำลังขึ้นมา ถ้ามีกำลังขึ้นมามันก็แยกแยะได้ ใช้ความแยกแยะ พยายามแยกออกไป ขันธ์เป็นขันธ์ จิตเป็นจิต

สิ่งที่รับรู้สิ่งต่างๆ สัญญาเกิดขึ้นก่อน สัญญาเกิดขึ้นเทียบค่าก่อน นั่นน่ะ มันไม่มีการลอยมา มันมีความละเอียดอ่อน สัญญามันจะจับต้องได้ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น ความรู้สึกเรามันจะเทียบค่าอะไรดีหรือไม่ดี สังขารมันจะปรุงแต่ง วิญญาณรับรู้ แล้วเวทนาให้ค่าไปเรื่อย หมุนเวียนไปในความเห็นของตัว อารมณ์มันเป็นแบบนี้ เราแยกแยะ อ๋อ! อารมณ์เกิดขึ้นมาเพราะเรา อารมณ์เกิดขึ้นมาเพราะขันธ์ ๕ มันครบวงจรของมันก็เป็นอารมณ์หนึ่ง แต่มันรวดเร็วมาก รวดเร็วจนเราไม่สามารถเห็นได้สิ่งนั้น ที่มันจะเห็นได้เพราะเราทำของเราขึ้นมา

จิตนี้เป็นกัลยาณปุถุชนขึ้นมาก่อน แล้วมันยกขึ้น มันเข้ามาพยายามไตร่ตรองจนจับอาการของใจได้ จับอาการของใจได้มันก็แยกแยะได้ อันนี้มันเป็นวุฒิภาวะของใจที่มันเจริญขึ้นมา มันถึงเห็นนะ ถ้าใจไม่เจริญขึ้นมาเห็นสภาวะแบบนี้ จะเห็นสภาวะแบบนี้ไม่ได้เลย ถ้าไม่เห็นสภาวะแบบนี้ไม่ได้ นี่ปัญญามันไม่เกิดจากใจดวงนั้นหรอก

ปัญญาของใจดวงนั้นจะเกิดขึ้นมาจากใจดวงนั้น มันเป็นการใคร่ครวญจากใจดวงนั้น ใจดวงนั้นพิจารณาของเขาซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า มีความแพ้มีการชนะผลัดเปลี่ยนกันไป จะซ้ำแล้วอยู่อย่างนั้น แพ้บ้าง ชนะบ้างอยู่อย่างนั้น แล้วพยายามสะสมของเราขึ้นมา ถ้าชนะขึ้นมามันก็มีความสุข ถ้ามันแพ้ขึ้นมา มันมีกำลังใจเหมือนกัน เป็นกำลังใจที่ว่า แพ้เพราะว่าเราสู้ไม่ได้

ถ้าเราสู้ไม่ได้ ใจมันจะเกิดขึ้นมา มันจะว่า เราก็เป็นคนหนึ่งที่สามารถทำได้ กำลังใจเกิดขึ้นอย่างนั้น แค่ชนะล่ะ ชนะนี้มีความสุขมาก มีความสุข มีความปล่อยวางของใจ ใจจะปล่อยวางจากอารมณ์ต่างๆ ปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางตามความเป็นจริงนะ ปล่อยวางจากตามความเป็นจริงของใจที่มันวิปัสสนาขึ้นมา ไม่ใช่ปล่อยวางจากการคาดการหมาย

การคาดการหมาย มันปล่อยวาง มันปล่อยวางโดยที่ว่ามันซุกไว้ใต้พรม สิ่งต่างๆ ความสงบต่างๆ เก็บไว้ใต้พรมแล้วว่าสิ่งนั้นไม่มี คือมันปฏิเสธไง มันเข้าใจว่าไม่มีแต่มันมีสิ่งนี้อยู่ ความสกปรกโสมมของใจมันไม่มีการชำระสะสางออกไป

แต่การวิปัสสนา การปล่อยวางนี้มันปล่อยวางจากการวิปัสสนา วิปัสสนาในอาการของใจนั้น ใจจะปล่อยวางสิ่งนั้นเข้ามาเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา มันจะปล่อยวางจะเวิ้งว้างขนาดไหน นั่นน่ะ ถ้าเราไม่มีความละเอียดอ่อน ไม่มีความรอบคอบ มันจะเข้าใจสิ่งนั้นปล่อยวางแล้วมันก็จะไม่ค่อยทำหรือรักษาไว้เฉยๆ เข้าใจว่าสิ่งนี้ปล่อยวางแล้วคือการปล่อยวาง อาการของกิเลสมันโดนกำจัดไป

มันไม่ใช่หรอก มันยังไม่ถึงจุดของมัน มันไม่มีคำตอบขึ้นมาในหัวใจ ถ้าจุดของมัน มันถึงปัญหาของมันขึ้นมาแล้วมันจะมีคำตอบของมันในหัวใจ สังโยชน์มันจะขาดออกไปจากใจ สิ่งที่สังโยชน์ขาดออกไปจากใจเพราะมีการใคร่ครวญ สักกายทิฏฐิความเห็นผิด ความเห็นผิดว่ากายกับใจนี้เป็นของเรา เราพิจารณาอารมณ์ของเรา อารมณ์มันผูกมัด ผูกมัดในร่างกายนี่แหละ อารมณ์หยาบๆ นี้มันติดเกาะเกี่ยวออกไปจากร่างกายนี้

ความคิดออกไปจากเรา ความคิดออกไปจากเรา ความคิดนี้ออกมาจากใจก่อน ใจคิดขึ้นมาแล้วอาศัยกายนี้คิดออกไป อาศัยมือนี้ทำงานออกไป เห็นไหม อย่างหยาบๆ มันข้องเกี่ยวกัน มันผูกพันกัน สิ่งที่ผูกพันกันมันเป็นเรื่องของการเกิดมาพบสิ่งนี้ สิ่งนี้เป็นสมบัติของเราแล้วมันใช้ประโยชน์สิ่งนี้จนเกิดมาแล้วตายไป นี่ท่องไปในวัฏฏะก็ท่องไปอย่างนี้ ใจนี้ก็ท่องไปในอารมณ์ต่างๆ ท่องไปแล้วก็ไม่เป็นประโยชน์กับเรา

แต่ท่องขึ้นมาด้วยธรรม ด้วยวิปัสสนาธรรมของเราขึ้นมา เราท่องขึ้นมาในหัวใจของเรา เกาะเกี่ยวสิ่งนี้ท่องขึ้นไปแล้วมันปล่อยวางออกมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ต้องซ้ำไง พยายามซ้ำเข้าไป ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หน้าที่ของเราคือหมั่นคราดหมั่นไถ หมั่นคราดหมั่นไถจนที่นานั้นไม่มีวัชพืชเลย อันนั้นเป็นหน้าที่ของเรา หน้าที่ต้องคราดต้องไถไปตลอด ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

การซ้ำแล้วซ้ำเล่าถ้าพูดไปแล้วมันเหมือนคำเก่าๆ คำที่น่าเบื่อหน่าย “ซ้ำไปทำไม”

นั่นเป็นความเห็นของโลกเขา แต่ในเวลามันซ้ำขึ้นไปมันเกิดความสุขทุกครั้งไป มีการซ้ำ ถ้ามันปล่อยวางขึ้นมา มันจะมีความสุขขึ้นมาในหัวใจตลอดไป ความสุขจะมีความเกิดขึ้นจากใจดวงนั้น มันจะปล่อยวางสิ่งนี้ขึ้นมา มีความสุข มีความสุข

ความสุขเป็นความปรารถนาของเรา ทุกคนปรารถนาความสุข ความสุขอย่างที่เกิดขึ้นจากผลของมันก็เป็นความสุขของเรา แต่ถ้าความสุขที่ว่าเกิดขึ้น “วิมุตติสุขนี้เป็นสิ่งที่น่าปรารถนามาก ความสุขเกิดจากความสงบ ความสุขในโลกนี้จะเทียบกับความสงบไม่มี”

ความสุขอย่างต่างๆ นี้เกิดขึ้นจากอามิส เกิดขึ้นจากความเห็นของเรา เกิดขึ้นจากความพอใจของใจดวงนั้นถึงจะเกิดความสุข

ความสุขอย่างที่เราแสวงหาขึ้นมานี้มันเป็นความสุขที่เราสร้างสมขึ้นมาด้วยธรรม สิ่งนี้ประเสริฐที่สุดแล้วคงที่ คงเส้นคงวา ถ้าวิปัสสนาซ้ำบ่อยครั้งเข้าจนกว่ามันขาดออกไปจากใจนะ สิ่งนี้ขาดออกไปจากใจ มันจะเห็นว่าสิ่งนี้ขาดออกไป มันจะแยกออกจากกัน แบบเหมือนกับทวีปต่างๆ แยกออกจากกันเลย ทุกข์เป็นทุกข์ จิตเป็นจิต ขันธ์เป็นขันธ์ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ สักกายทิฏฐิ ๒๐ ขึ้นไป ความลังเลสงสัยในสิ่งนี้ต้องไม่มี แล้วมันจะสีลัพพตปรามาสไปที่ไหน

จิตนี้จะมั่นคงตลอดไป มั่นคงในการประพฤติปฏิบัติ ในการประพฤติปฏิบัติก้าวเดินต่อไป มันจะมีความสุข มันจะเวิ้งว้าง มันจะมีความสุขในหัวใจมาก ความสุขสิ่งนี้มันเกิดขึ้นได้จากใจดวงนั้นเท่านั้น ใจดวงอื่นไม่เคยเห็น ครูบาอาจารย์จะพูดขนาดไหน เราได้ฟังมาเราก็จินตนาการของเราไป แต่ในเมื่อถ้าเราปฏิบัติของเราขึ้นมาจนเป็นสมบัติของเรา ที่เป็นภาวนามยปัญญาเกิดขึ้น เกิดขึ้นอย่างนี้กับใจของเรา เกิดขึ้นมาจากในหัวใจของเรา

นี่ที่ว่าเป็นรูปธรรม เป็นมรรคอริยสัจจังเกิดขึ้น ธรรมจักรมันเคลื่อน มันเคลื่อนอย่างนี้ ธรรมจักรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้จะเคลื่อนไปเพื่อชำระกิเลสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมจักรของครูบาอาจารย์ต่างๆ ก็เคลื่อนออกไปเพื่อชำระกิเลสของครูบาอาจารย์ ธรรมจักรของเรา เราสร้างสมของเราขึ้นมา ภาวนามยปัญญานั้นคือธรรมจักร รูปธรรมที่ว่าจักรมันเคลื่อนไปแล้ว “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับสลายเป็นธรรมดา” นั่นน่ะ มันเคลื่อนออกไปแล้วมันทำลายกิเลสในหัวใจของพระอัญญาโกณฑัญญะก่อน

นี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราสร้างสมของเราขึ้นมามันหมุนเวียนออกไป ที่ว่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า จักรมันหมุนตลอดไป ถ้าจักรมันหมุนออกตลอดไป มันจะหมุนกลับเข้ามาชำระกิเลสของเรา ชำระกิเลสของเรา จนกิเลสของเรามันเริ่มกระทบกระเทือนเข้าไป มันต้องปล่อยวางออกมา ปล่อยวางจนมันหลุดออกไปจากใจ สิ่งที่ขาดออกไปจากใจมันเป็นสมบัติของใจดวงนั้น จะเวิ้งว้าง จะมีความสุข ไปไหนเหมือนกับลอยไป เหมือนกับคนไม่ได้เดิน คนมันจะลอยไป นั่นน่ะ เป็นความสุขส่วนหนึ่ง นั่นน่ะ ท่องไปในธรรม

สิ่งที่ท่องไป จิตนี้นักท่องเที่ยว เที่ยวไปเถิด เที่ยวไปในวัฏฏะนั้นเป็นเรื่องวัฏฏะ นั่นมันเป็นเรื่องอดีตไปแล้ว แต่ในปัจจุบันนี้เราท่องในธรรม เพราะเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราจะได้ประโยชน์จากศาสนา ศาสนานี้เป็นประโยชน์กับใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นมีคุณประโยชน์ขึ้นมา มันก็เริ่มย้อนกลับเข้ามา คนที่ทำมาค้าขาย ผลกำไรของการค้าขายนั้นเป็นสิ่งที่ปรารถนา

นี้ก็เหมือนกัน เราประพฤติปฏิบัติ มรรค ผล นิพพาน เป็นสิ่งที่ปรารถนาของใจทุกๆ ดวงที่สมความปรารถนาของใจดวงนั้น จะต้องต้องพยายามหาสิ่งนี้ สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ของใจดวงนั้น สิ่งที่ประโยชน์สูงสุด ชาตินี้ในเมื่อมีชีวิตอยู่ จนกว่าวันตาย ตายไปพร้อมกับให้กิเลสขาดออกไป มันก็ยังสมหวังนะ ถ้าเราตายไปพร้อมกับกิเลส กิเลสในหัวใจ สิ่งที่ละเอียดยังอยู่ในหัวใจ สิ่งที่มันละเอียดอยู่มันเป็นสิ่งที่ละเอียดขึ้นมา ละเอียดในหัวใจนั้น มันยังมีอีกในหัวใจ ถ้าตายไปมันก็ยังต้องเกิดอีก สิ่งที่เกิดอีกแต่มันก็เกิดไม่ลงอบายภูมิ

อบายภูมิปิดกั้นด้วยการสมุจเฉทปหาน จากความเห็นขันธ์กับจิตแยกออกจากกัน สิ่งที่แยกออกจากกันแล้วมันจะเป็นคุณไปข้างหน้า เข้ากระแส หมุนไปตามกระแส แต่การเกิดและการตายเป็นความทุกข์ไหม? สิ่งที่ความเกิดและความตายเป็นความทุกข์ ถ้ามีความเกิดขึ้นมา ความเกิดขึ้นมามันต้องเกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องบุบ แยก ต้องแตกสลายไปเป็นธรรมดา

“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้น สิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา” มันจะต้องไปซ้ำตรงนั้นอีกทำไม มันควรจะให้เป็นชาตินี้ชาติสุดท้าย ชาติที่ว่าเราเกิดมาแล้วเราจะต้องตาย แต่ขอให้กิเลสมันตายก่อนเราที่เราจะตาย ถ้ากิเลสมันตายก่อนเรา เราก็ต้องพยายามแสวงหา เห็นไหม ทำความสงบของใจให้สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป แล้วดูสิ่งที่เป็นละเอียดกว่า ขันธ์ที่เป็นขันธ์อย่างหยาบๆ มันขาดออกไปจากใจ ขันธ์เป็นอย่างกลางๆ อยู่ในหัวใจ ขันธ์อันละเอียดที่ในหัวใจ

ธรรมอย่างหยาบเกิดขึ้นมา เราพยายามสะสมของเราขึ้นมาได้แล้ว พยายามทำธรรมอย่างกลางขึ้นมา ธรรมอย่างกลางขึ้นมาที่เราจะสะสมขึ้นมาได้มันก็ต้องมีการท่องไปในธรรม ท่องไปในธรรมอันที่ละเอียดอ่อนขึ้นมา ต้องให้จิตนี้ขับไสเข้าไปในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ได้ ถ้ามันไม่ขับไสไป มันกิเลสมันพาใช้

เราว่าเราปฏิบัติธรรม เราปฏิบัติธรรมอยู่ กิเลสมันอยู่กับความคิดเรา เห็นไหม กิเลสมันมีอยู่ในหัวใจอยู่แล้ว เวลาคิดขึ้นมาอย่างไรมันก็คิดตามความพอใจของมัน คิดตามความคาด ความหมาย ความคาด ความหมาย หมายไปในสิ่งใดๆ มันก็เป็นหมายไปในความทุกข์นั้นล่ะ เพราะความหมายนั้นมันเป็นสิ่งนี้ไม่เป็นความจริง สิ่งที่ไม่เป็นความจริงมันหลอก ๒ ชั้น ชั้นหนึ่งมันเป็นสมมุติอยู่แล้ว แล้วเราไปคาดไปหมายไปให้ค่ามันอีกเป็น ๒ ชั้น ความปรารถนา ความไม่สมหวัง ปรารถนาแล้วไม่สมหวังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ หวังสิ่งใดไม่สมความปรารถนา

นี่เหมือนกัน ถ้าเราพยายาม สิ่งที่เป็นธรรมมีอยู่แล้วโดยดั้งเดิม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมไปก่อน มันสมความปรารถนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนแล้ว มันมีอยู่ แต่มันไม่สมความปรารถนาเรา เพราะเรายังทำไม่ถึงจุดของมัน ถ้าเราทำถึงจุดของมัน มัชฌิมาปฏิปทา สิ่งนี้มีอยู่โดยคงที่คงวา มัชฌิมาปฏิปทามีอยู่แล้ว มัชฌิมาปฏิปทาโดยธรรม ถ้าใจเราทำเข้ามัชฌิมาปฏิปทา มัชฌิมาปฏิปทามันต้องสร้างสมขึ้นมา มัชฌิมาปฏิปทาจะเกิดขึ้นได้ต้องมรรครวมตัว มรรคจะรวมตัวได้ มรรคอยู่ที่ไหน?

มรรคไม่ได้อยู่ในดินฟ้าอากาศ มรรคไม่ได้อยู่ในสิ่งใดๆ เลย มรรคเกิดขึ้นมาจากใจ จากใจ มรรคอริยสัจจัง ภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมาจากใจ ใจดวงนี้มันคิดไปในทางที่ผิด เศร้าหมองนั้น มันเป็นความคิดใฝ่ต่ำ นั้นไม่ใช่มัชฌิมาปฏิปทา มันเป็นมิจฉามรรค สัมมาสมาธิ มิจฉาสมาธิ ความคิดผิด ความเห็นผิด มันก็ทำให้ใจเห็นผิดไป ความที่ไปเห็นผิดไปแล้วผลมันจะเกิดขึ้นเป็นอะไร?

ผลเกิดขึ้นมาจากความไม่สมหวัง ความไม่สมหวังในความคาดหมายของเรา ใจมันก็จะมีความทุกข์ในหัวใจ ความทุกข์ในหัวใจเกิดขึ้นมาเพราะเราไปเชื่อกิเลส เราไปเชื่อเรา เราถึงเชื่อเราไม่ได้ ที่ว่าเราเชื่อเราไม่ได้ เราต้องเชื่อธรรม เชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราต้องพยายามวางไว้ให้เป็นกลาง สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนนั้นเป็นเรื่องจริง แต่เราทำของเรามันเป็นความเห็นของเรา ความเห็นของเราคือกิเลสมันบวกเข้ามาแล้ว ถ้ากิเลสมันบวกเข้ามา นี่ถ้าเชื่อเรา เชื่อเราก็เชื่อกิเลสด้วย

ถ้าเราไม่เชื่อเรา เราเชื่อธรรม เชื่อธรรมต้องพยายามปฏิบัติธรรม นั่นน่ะ ทำความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบขึ้นมาเพราะเชื่อธรรม เชื่อธรรมแล้วจิตสงบเข้ามามันเป็นกลาง เป็นกลางได้เพราะกิเลสมันสงบตัวลง สมถกรรมฐาน คือความกดกิเลสไว้ให้เราได้ก้าวเดิน ถ้าไม่อย่างนั้นกิเลสมันจะพุ่ง มันจะเพ่นพ่าน มันจะเพ่นพ่านอยู่ในความคิดของเรา เราท่องไปพร้อมกับพญามาร ท่องไปในอารมณ์ของเรา ท่องไปในความเห็นของเราพร้อมกับพญามารที่ท่องไปในความเห็นของเรา

นั่นน่ะ ต้องทำความสงบเข้ามาเพื่อจะให้กิเลสมันสงบตัวลง กดกิเลสลงไปขึ้นมา ถ้ากดกิเลสลงไป ความคมกล้า ความเข้มแข็งของใจ ถ้าใจเข้มแข็งขึ้นมา มันจะเป็นความจริงอันหนึ่ง จริง คนจริง จริงอันหนึ่ง แต่ถ้าจริงเชื่อกิเลสเกินไปมันก็ไม่สมกับความปรารถนา กิเลสมันก็หมุนเวียนออกไปตามความเห็นของกิเลสนั้น ถ้าความเห็นของกิเลสนั้นมันก็ทำให้เราล้มลุกคลุกคลาน ไม่สมหวังตามความเป็นจริง

ถ้าเราจะไม่ให้ล้มลุกคลุกคลาน เราต้องพยายามลองผิดลองถูก ลองผิดลองถูก มันจะมี กิเลสนี้มันจะขวางหน้าเรา มันจะดักหน้าเราไม่ให้เราสะดวกสบายหรอก การประพฤติปฏิบัตินี้มันเป็นความทุกข์ยากอยู่แล้วส่วนหนึ่ง กิเลสผลักไส กิเลสหลอกลวงให้เราทุกข์ยากเข้าไปอีกส่วนหนึ่ง

เราถึงต้องพยายามทุ่มเท เวลาทุ่มเท ทุ่มเทไปในมรรค ความอยากในเหตุ สร้างเหตุขึ้นไปแล้วผลมันจะเกิดขึ้นสมความปรารถนาถ้าเหตุมันสมควร “อยากในเหตุ” ถ้าอยากในเหตุ ถ้าเหตุมันพาผิดล่ะ มิจฉามรรคมันเกิดขึ้นมันพาให้ผิดไป ถ้าเราผิดไป ถ้าเรายึดมั่นถือมั่นเราเกินไป มันก็จะหมุนออกไป มันจะตกฟากไปทางฝ่ายอัตตกิลมถานุโยค

นั่นน่ะ เราปล่อยวาง เราเข้าใจแล้วเราตรวจสอบ เราตรวจสอบแล้วเราเริ่มต้นของเราใหม่ พยายามสร้างสมของเราใหม่ขึ้นมาจนมันใหม่ขึ้นมา มันจะวางเข้ามา จะละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไป มันจะละเอียดเข้าไป จิตมันจะละเอียดเข้าไป จากสติปัญญา มันจะเริ่มต้นสร้างขึ้นมา เริ่มขึ้นไปจนกลายเป็นมหาสติ-มหาปัญญาขึ้นไปในภายภาคหน้า

แต่ตอนนี้เป็นสติปัญญาโดยการต่อสู้เหมือนกัน จับต้องสิ่งนี้มันเป็นอุปาทานในหัวใจ อุปาทานสิ่งที่เกาะเกี่ยวนะ อุปาทานในการยึดมั่นถือมั่น สิ่งที่เป็นอุปาทาน มันไม่เป็นความจริง ถ้ามันไม่เป็นความจริง มันจะให้ผลเป็นอย่างไร? ให้ผลเป็นการหลอกลวง สิ่งที่หลอกลวงความเห็นของเรา สิ่งที่หลอกลวงใจของเรา ให้เราเชื่อกับสิ่งนี้ หมุนเวียนไปกับสิ่งนี้ มันจะให้คุณค่าอะไรกับใจดวงนั้นล่ะ มันให้คุณค่า หมุนเวียนก็อยู่อย่างนั้น วังวนของกิเลสพาไป วังวนของกิเลสหมุนเวียนกับสิ่งนั้น

เราย้อนกลับ ทวนกระแสกลับเข้ามาเพื่อจะเข้าไปให้เห็นจับต้องสิ่งนั้น จับต้องเรื่องของขันธ์อันละเอียดให้ได้ ถ้าจับขันธ์ละเอียดได้มันเป็นอารมณ์ความรู้สึกผูกพัน วิปัสสนาเข้าไป แยกมันออก ออกไปจากใจให้ได้ มันเป็นขันธ์อันละเอียด ขันธ์เหมือนกัน มีความผูกพันเหมือนกัน สิ่งที่ผูกพันมามันยึดมั่นถือมั่นเหมือนกัน ความยึดมั่นถือมั่นของมันเพราะมันมีอุปาทานแล้วยึดมั่นถือมั่น มันจะหลงใหลไปไหน? มันก็หลงใหลไปในเรื่องการผูกพันของใจ นั่นน่ะ มันเกี่ยวพันกันไปอย่างนั้น มันอุ่นอยู่กับความทุกข์นะ ความทุกข์อันละเอียดอยู่นี้มันก็อุ่นอยู่ในหัวใจ มันอุ่นในหัวใจทำให้หัวใจเดือดร้อน

ถ้าเราไม่มีความสามารถทำได้ เราก็ต้องทำความสงบของใจ พักมันซะ ไม่ตามไปความเห็นสิ่งนั้น ทำความสงบของใจ ทำสมถกรรมฐานขึ้นมาให้มันพักผ่อน พักแล้วมีกำลังขึ้นมาค่อยออกมาจัดการกับมันใหม่ ถ้ามันมี นั่นน่ะ เราไม่รีบเร่งเกินไป ถ้าเรารีบเร่งเกินไป เราต้องการมากเกินไป เราก็จะไม่ละเอียดรอบคอบในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าละเอียดรอบคอบ กิเลสมันจะหลอกลวงให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นก่อน หลอกลวงให้เราพลัดพราก หลอกลวงให้เราหลุดออกไปจากวงจรของมรรคอริยสัจจังที่จะเกิดขึ้นมาในหัวใจ

มรรคอริยสัจจังเกิดขึ้นมาในหัวใจของเรา มันจะเกิดขึ้นมาจากความที่ว่าสมควร “ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะนั้นจะเกิดกับใจดวงนั้น” ถ้าเราเกิด เราด้นเดา เราคาดหมาย มันเป็นความคาดหมายของใจ ใจคาดหมายไปมีความทุกข์ในหัวใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะมีสภาวะแบบนั้น นั่นน่ะ ทำความสงบของใจ ถ้ามันทำไม่ได้ ทำความสงบของใจดีกว่า ใจจะมีความสงบของใจ สุขขึ้นมา สุขขึ้นมา มันจะสร้างฐานขึ้นมา สร้างฐานขึ้นมา จนฐานนี้มันเป็นความตั้งมั่น นั่นน่ะยกขึ้นวิปัสสนาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้นตลอดไป นั่นน่ะ ต่อสู้กับกิเลส

กิเลสมันจะหลอกลวง มันจะสร้างเรื่องขึ้นมา สร้างเรื่อง สร้างสถานะให้เราเข้าใจตามความเห็นของกิเลส แล้วจะว่าสิ่งนั้นเป็นผล สิ่งนั้นเป็นผล ทำให้เราก้าวออกไปจากดวงใจ ก้าวออกจากความประพฤติปฏิบัติ ออกไปไหน เข้ารก เข้าพงไป ไปไกลแสนไกลนะ แล้วเราก็ต้องย้อนกลับเข้ามาใหม่ ย้อนกลับเข้ามาในกิเลสเกิดที่ใจ กิเลสดับที่ใจ กิเลสเกิดที่นี่ต้องมาต่อสู้กันบนเวทีของใจเท่านั้น การวิปัสสนานั้นคือการต่อสู้กันบนเวทีของใจ ใจนี้มันหมักหมมสะสมไปด้วยสิ่งที่ว่าสกปรกโสมมในหัวใจ สิ่งที่สกปรกโสมมในหัวใจ นั่นกิเลสมันสกปรก นี้เป็นนามธรรมนะ

“มันจะสกปรกไปไหนในเมื่อมันเป็นนามธรรม มันจะมีความสะอาดไปไหน”

สิ่งที่เราไม่เคยเห็น เราก็ต้องคาดหมายไป แต่จะเห็นจริงๆ ต่อเมื่อเวลามันขาดออกไป สิ่งที่ความสกปรกโสมม คือความหมายว่า การคาดการหมายเป็นอนุโลมไปว่าสิ่งที่เป็นกิเลสนี้เป็นสิ่งที่เป็นความเศร้าหมอง สิ่งที่มันเศร้าหมอง สิ่งที่จะทำให้ใจนี้พาเกิด พาตาย

แต่ธรรมะล่ะ ธรรมะเป็นน้ำสะอาด เป็นน้ำสะอาดมาชำระสิ่งนี้ไง พยายามชำระล้างออกไป ล้างออกไปบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า ถ้าเราบ่อยครั้งเข้า ความชำนาญเราเกิดขึ้นมา ถ้าสิ่งที่ความชำนาญเกิดขึ้นมามันจะเริ่มทันกัน สิ่งที่เริ่มทันกัน เริ่มต่อสู้กันได้ ความต่อสู้กันได้จะมีความแพ้ความชนะ จากเริ่มแพ้มาตลอดมันจะมีความชนะบ้าง จนถึงจุดหนึ่ง ถึงจุดของมันความเห็นพอดีของมันแล้วมันก็ต้องปล่อยวางออกไป

สิ่งที่ปล่อยวางออกไปขาดออกไป นั่นนะ ขันธ์อันละเอียดในหัวใจกับขันธ์อันกลางในหัวใจกับใจนี้จะขาดออกจากกัน จิตกับขันธ์นี้แยกออกจากกันโดยธรรมชาติของมันเลย แยกออกเวิ้งว้างจนกายเป็นกาย จิตเป็นจิต แยกออกจากกัน นี่เกิดผลขึ้นมา เกิดจากการเราท่องมาในธรรม ท่องขึ้นมาในธรรม จิตนี้ท่องขึ้นมาในธรรม ธรรมเกิดขึ้นมาจากใจดวงนั้น เป็นธรรมของใจดวงนั้นสร้างสมขึ้นมา นี่สะสมขึ้นไป สะสมขึ้นมาจนเป็นผลประโยชน์ขึ้นมา มันก็มีความสุข

ความสุขเกิดขึ้นจากความละเอียดรอบคอบของใจ ความสุขไม่ใช่เกิดขึ้นจากความมักง่าย ความสุขอันเกิดขึ้นจากในหัวใจนั้นเป็นผลของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะมีความสุขอยู่ชั่วครั้งชั่วคราวขนาดไหน ความสุขอันนั้นมันก็มีกิเลสอันละเอียดกว่าในหัวใจนั้น มันก็ต้องปั่นป่วนในใจ ใจมันจะมีความปั่นป่วนในใจ แต่ถ้ามันไม่ปั่นป่วนขึ้นมา ใจไม่เห็นกิเลสนั้นมันจะไม่ปั่นป่วน มันจะนอนจมอยู่ตรงนี้ ตรงนี้ทำให้นอนจมอยู่ได้

สิ่งที่ความติดข้องติดข้องกันอยู่ตรงนี้ มีความติดข้องอยู่ได้ ติดข้องเพราะใจมันเห็นว่าอันนี้เป็นความสุขแล้ว อันนี้เป็นความพอใจของใจตัวเองแล้ว มันมีความสุขไง แต่สิ่งที่ละเอียดอยู่มันซ่อนอยู่ในหัวใจ ถ้าเรามีครูบาอาจารย์เคาะ เคาะออกมา มันจะออกมา ออกมาหากิเลสอีก ออกมาหาว่าสิ่งที่สะสมอยู่ในหัวใจนั้นมันอยู่ที่ไหน

สิ่งที่สะสมอยู่ในหัวใจนั้นเป็นกามราคะสะสมอยู่ในหัวใจ สิ่งที่กามราคะสะสมในหัวใจ นั่นน่ะ การขุดคุ้ยหากิเลสนี้เป็นงานอย่างหนึ่ง การขุดคุ้ยหากิเลสแล้วเป็นงานอย่างที่เป็นเรื่องอันประเสริฐมาก ถ้าขุดคุ้ยหาไม่เจอกิเลสมันก็เป็นความหลง จิตนี้จะหลง จะนอนอยู่ตรงนั้นเป็นชั่วครั้งชั่วคราว ออกทำขนาดไหน ความสงบขนาดไหนมันก็สงบอยู่แค่นั้น อยู่แค่นั้นเพราะมันเป็นสิ่งที่ว่ามันไม่เจริญงอกงามขึ้นไป

สิ่งที่จะเจริญงอกงามขึ้นไป มันต้องใช้ปัญญาใช่ไหม สิ่งที่เป็นปัญญาจะเผาไหม้กับเรื่องของกิเลสนั้นมันต้องจับต้องได้ มันต้องพยายามแสวงหาสิ่งนี้ให้ได้ การแสวงหาสิ่งนี้ การขุดคุ้ยหากิเลสนี้เป็นเรื่องอันหนัก เป็นภาระอันหนึ่ง เป็นภาระของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมหาศาล เป็นภาระอันหนึ่งแล้วเป็นภาระอันมหาศาล ถ้าจับต้องสิ่งนี้ได้ เป็นภาระที่เราจับต้อง เราเป็นหนี้ เราหาเจ้าหนี้เจอ ถ้าเราหาเจ้าหนี้เจอเราจะชำระหนี้ได้ ถ้าเราหาเจ้าหนี้ไม่เจอเราจะชำระหนี้ใคร

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อกิเลสมันอยู่ที่ใจ เราจะชำระกิเลส เราต้องหาตัวกิเลสเจอ ตัวกิเลสคือตัวเจ้าหนี้ใหญ่ ถ้าเกิดเจอตัวเจ้าหนี้ใหญ่แล้วเราค่อยใช้หนี้เขา ผ่อนชำระเขาขนาดไหน นั่นคือเรื่องการวิปัสสนา ถ้าวิปัสสนาเกิดขึ้นมา มันจะเป็นการผ่อนชำระ ผ่อนชำระความเห็นผิด ผ่อนชำระความผูกพันของใจ ใจผูกพันกับเรื่องขันธ์อันละเอียดนี้เป็นสิ่งเป็นเนื้อเดียวกัน ขันธ์อันละเอียดกับใจนี้จะเป็นเนื้อเดียวกัน กามราคะนี้จะเป็นเรื่องสุขสุมอยู่ในหัวใจ ใจนี้จะสุมอยู่สิ่งนี้แล้วก็จะวนอยู่ในกามราคะนี้โดยธรรมชาติของมัน

ถ้าไม่เห็น ถ้าจับต้องไม่ได้นี้ไม่รู้สึกตัวเลยนะ จะไม่รู้สึกตัวว่าสิ่งนี้มันเป็นอะไรขึ้นมา จะไม่เคยเห็นมัน จะอยู่อย่างนั้นแล้วหมุนเวียนไป ความคิดมันเกิดดับในหัวใจ เวลามันมีสิ่งใดสะเทือนใจมันจะเกิดขึ้นมาทันทีแล้วมันจะเผาอุ่นกินอยู่อย่างนั้น เราก็ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเพราะอะไร? เพราะมันเป็นอารมณ์ออกมาจากภายนอกไง เวลาความคิดออกมาจากภายนอก เราคิดว่าสิ่งนี้เกิดมาจากไหน? มันเกิดมาจากภายในก่อน มันเผาลนภายในก่อนแล้วมันถึงออกมาเป็นอารมณ์ความรู้สึกข้างนอก เราเห็นแต่อารมณ์ความรู้สึกข้างนอกนี้ว่าเป็นกามราคะ เป็นกามราคะ แต่ความจริงมันเกิดขึ้นจากที่ไหน?

มันเกิดขึ้นจากภายใน ถ้าเกิดขึ้นจากภายใน จับตรงนี้ได้มันสะเทือนเรือนลั่นเลยนะ สะเทือนเรือนลั่นในหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ มันจะมีเป็นผลงาน ถ้ามีผลงานขึ้นมามันจะมีความภูมิใจไง ความภูมิใจของสัตว์โลก ความภูมิใจของใจที่ผู้ประพฤติปฏิบัติก้าวเดินเป็นขั้นเป็นตอนเข้าไป มันจะเป็นขั้นเป็นตอน ถ้าไม่ก้าวเดิน จับต้องไม่ได้ มันไม่ก้าวเดินเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นไป มันจะอยู่ซ้ำแล้วซอยเท้าอยู่กับที่ มันจะซ้ำอยู่กับที่อยู่อย่างนั้น แล้วมันไม่ก้าวเดินตลอดไป

แต่ถ้ามันจับต้องได้ มันเริ่มขึ้นเป็นขั้นตอนขึ้นไป พอขึ้นเป็นขั้นตอนขึ้นไป วิปัสสนาเกิดขึ้น การจะวิปัสสนาสิ่งนี้มันเป็นการต่อสู้กันอย่างมหาศาล สิ่งที่ต่อสู้มหาศาลในการต่อสู้กัน สงครามใหญ่เกิดขึ้น สงครามจากขอบนอก สงครามเราตีสงครามขึ้นมาต่อสู้กันจากชายขอบของสงคราม กลับเข้าไปสู่จุดศูนย์กลางของสงคราม เหมือนกับพายุ พายุจากหางพายุขึ้นมา เราเข้าไปอยู่ในวงก่อตัวพายุมันจะรุนแรงเหมือนกัน

นี้ก็เหมือนกัน ในใจของเรา เราต่อสู้เข้ามาในหัวใจของเรา เราต่อสู้เข้ามาจากชายขอบเข้ามา ชายขอบเข้ามาจนถึงจุดกึ่งกลางของแม่ทัพใหญ่ สิ่งที่เป็นแม่ทัพใหญ่มันไปสู่สงครามอันใหญ่โตที่มันจะทำให้ใจนี้เป็นไปตามอำนาจของเขา เราต่อสู้ขึ้นมา เราพยายามวิปัสสนาขึ้นมา อันนี้เป็นโทษ ขันธ์อันละเอียดนี้เป็นสิ่งที่เป็นโทษอันละเอียดแล้วมันจับต้องไม่ได้ มันจับต้องได้ยากมาก

พอจับต้องขึ้นมามันจะแยกออกขึ้นมา อันใดเป็นเวทนา ความรู้สึกเวทนาของใจ ใจให้ค่ากับสิ่งนี้ ความทุกข์ขึ้นมาเกิดจากเวทนาของใจ เกิดมาจากสัญญาอันละเอียดของใจ สิ่งนี้เกิดขึ้นมามันเผาลนใจขึ้นมาแล้วมันก็หมุนเวียนอย่างนั้น แล้วเราเข้าใจผิด ความเข้าใจผิดของเราคือการวิปัสสนาแล้วผิดพลาดออกไป มันจะหมุนออกไปข้างนอก หมุนออกไปข้างนอก หมุนออกไปให้เราหมุนออกไปข้างนอก หมุนออกไปโดยที่ไม่เข้าจุดศูนย์กลาง

เราต้องย้อนกลับตลอด ย้อนกลับตลอด การย้อนกลับ พลังงานของใจ งานข้างนอกทำแล้วมันแสนเหน็ดเหนื่อย แต่ถ้าวิปัสสนานี้มันเหนื่อยมากกว่านั้นอีก งานของใจมันจะเหน็ดเหนื่อย มันถึงต้องกลับมาพักความสงบของใจ ความสงบของใจ ให้ใจได้พักผ่อน ถ้าพักผ่อนแล้วมีกำลังขึ้นมาก็ต่อสู้ เข้าไปต่อสู้ ถ้าต่อสู้ไม่ไหว พักอยู่อย่างนั้น ต่อสู้ กดไว้ก่อนให้มีกำลังขึ้นมา

เหมือนกับมีด เอามาลับให้คมกล้าขึ้นไปแล้วกลับเข้าไปฟัน ถ้าฟันได้ ฟันเข้าไปได้ มันก็จะหลุดออกไป ปล่อยวางออกไป ปล่อยวางออกไปให้ใจนี้เป็นอิสรภาพชั่วคราว ชั่วคราว นั่นน่ะ ความปล่อยวางขนาดนี้ในการต่อสู้นี่มีมากมายกว่าชั้นล่างมาก ข้างล่างมีการต่อสู้เป็นครั้ง มันต่อสู้แล้วมันยังปล่อยวาง แต่ข้างบนนี้มันจะเหนียวแน่นกว่า

การต่อสู้ที่ต้องต่อสู้อย่างมหาศาล ทำอยู่อย่างนั้น ทำอยู่อย่างนั้นจนถึงที่สุด จนถึงที่สุดมันก็ขาดออกไป ขันธ์นี้ไม่ใช่จิต จิตนี้ไม่ใช่ขันธ์ จิตนี้เป็นจิต ขันธ์นี้เป็นขันธ์ แล้วจิตตัวนี้ที่ว่ามันท่องไปในขันธ์ มันท่องไปอย่างนี้นี่เอง เพราะอะไร

เพราะมันเป็นอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ความที่ว่ามันหมุนในตัวมันเองอยู่แล้ว มันเป็นปัจจยาการในตัวของมันเอง ตัวอวิชชาเป็นตัวปัจจยาการแล้วมันก็หมุนออกมา แล้วมันท่องเข้าไปในขันธ์ ๕ เห็นไหม มันท่องไป มันวนเวียนไป จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยวในอารมณ์ของตัวเอง ถ้าท่องเที่ยวอารมณ์ของตัวเอง เพราะคนที่ว่าเป็นปุถุชน คนที่ไม่ประพฤติปฏิบัติ ไม่เข้าใจสิ่งนี้

แต่ในการประพฤติปฏิบัติ เราท่องเที่ยวเข้าไปด้วยแล้วเรามีธรรมะธรรมาวุธเข้าไปด้วย มันชำระล้างเข้าไปเป็นชั้นๆ เข้าไป ชำระความเห็นของเราเข้ามาเป็นชั้นๆ เข้ามา มันชำระขาดออกไปเป็นชั้นเข้ามา จนมันเป็นออกไปเป็นเรื่องของอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เป็นตัวของตัวอวิชชาคือตัวใจล้วนๆ นั่นน่ะ ตัวใจล้วนๆ ตัวนี้ตัวนักท่องเที่ยว ตัวนี้คือตัวจิตปฏิสนธิ จิตปฏิสนธิ กับจิต กับความอารมณ์ความคิดต่างๆ วิญญาณปฏิสนธิกับวิญญาณในขันธ์ ๕ ต่างกัน ต่างกันตรงนี้

เพราะว่ามันประสานกันแล้ว มันถึงเป็นออกมาเป็นอารมณ์ ถ้ามันไม่ประสานกันมันก็เก้อๆ เขินๆ มันเสวยอารมณ์ไม่ได้ มันเสวยอารมณ์ไม่ได้ มันหดสั้นเข้ามา มันปล่อยขันธ์เข้ามา ปล่อยขันธ์เข้ามา จนมันเข้าถ้ำ เสือเข้าไปอยู่ในถ้ำ แล้วก็เราไม่เห็นเสือเพราะเราเห็นแต่ปากถ้ำ เราเห็นแต่ว่ามันเป็นถ้ำเป็นภูเขาว่าเป็นสิ่งที่สวยงาม

นี้ก็เหมือนกัน จิตมันปล่อยวางแล้วมันจะเวิ้งว้าง มันจะมีความสุขของมันขนาดไหน มันจะปล่อยวางอยู่ขณะนั้น มันจะไม่เห็นตัวเสือ มันจะจับเสือไม่ได้ จิตเป็นนักท่องเที่ยว จิตจะทำลายจิตนี้มันต้องย้อนกลับเข้ามา ทำลายตัวมันเอง ถ้าจะทำลายตัวมันเอง มรรคญาณจะเกิดขึ้นขนาดไหนมันต้องพยายามจับ พยายามแสวงหาสิ่งนี้

ถ้ามรรคญาณมันเกิดขึ้นได้ มันจับตัวมันเองได้ มรรคญาณเกิดขึ้นไม่ได้ มันจับตัวมันเองไม่ได้ ถ้าจับตัวมันเองได้ จับตัวมันเองได้ พลิกตัวมันเอง คว่ำไป นั่นน่ะ ตัวของจิตเป็นตัวจากตัวสกปรกเป็นตัวสะอาด เห็นไหม อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ อารมณ์เกิดขึ้นจุดเดียว อารมณ์ความเกิดขึ้น เกิดขึ้นพร้อมกันเหมือนกับไฟที่เกิดขึ้น ความร้อนกับแสงสว่างเกิดขึ้นพร้อมกัน อันนี้ก็เหมือนกัน ในหัวใจมันเกิดขึ้นดับ เกิดดับพร้อมกัน

แต่เดิมขันธ์กับจิตมันเกิดขึ้นมันกระทบกระเทือนกัน เราวิปัสสนาใคร่ครวญเข้ามา มันก็หลอกเราตลอดมา เราพยายามใคร่ครวญเข้ามาขนาดไหน จนชำระสะสางเข้าไปจนถึงตัวของจิตมันไม่ใช่ตัวขันธ์ มันเป็นตัวที่ว่าเป็นปัจจยาการเกิดขึ้นพร้อม เกิดดับพร้อม ความเกิดดับพร้อม ความละเอียดรอบคอบในการวิปัสสนามันต้องละเอียดรอบคอบมากกว่ากัน ความละเอียดเกิดดับพร้อมกัน ไม่ใช่หมุนออกไป มันพลิกทีเดียว พลิกออกไปเลย พ้นออกไปจาก...จิตนี้ไม่ใช่เป็นนักท่องเที่ยวแล้ว มันจะท่องเที่ยวไปอีกไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันไม่มีเชื้อ

สิ่งที่มีเชื้อ ความเป็นเชื้อนั้นเป็นพลังงาน เป็นพลังงานของวัฏฏะ เป็นพลังงานของจิตที่มันหมุนไปในวัฏฏะนั้น แล้วเราไปทำลายเชื้ออันนี้หมดสิ้นออกไป มันไม่มีเชื้อท่องเที่ยว จิตนั้นก็สมบูรณ์ในตัวมันเอง มันจะไม่ท่องเที่ยวอีกเลยในจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นจะอยู่ธรรมชาติของเขา จิตดวงนั้นจะมีความสุขมหาศาลในความสุขของจิตดวงนั้น เพราะจิตดวงนั้นได้ทำงานของตัวเองสิ้นสุดการประพฤติปฏิบัติ สิ้นสุดการงาน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวนหาครูบาอาจารย์อยู่ ๖ ปีนะ วนหาครูบาอาจารย์อยู่ ๖ ปี พยายามศึกษากับใครเพื่อจะหาวิชาการนี้ก็ไม่มี หาวิชาการนี้ก็ไม่มี จนกว่าตัวเองต้องประพฤติปฏิบัติเอง เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เป็นสยัมภูตรัสรู้ธรรมเอง ธรรมนี้ละเอียดอ่อนลึกซึ้งมาก ความละเอียดอ่อนลึกซึ้งจนเราไม่สามารถอธิบายกันได้ สมมุติเป็นบัญญัติ สมมุติขึ้นมาไม่ได้ จนพระพุทธเจ้าต้องบัญญัติเป็นขันธ์ ๕ บัญญัติเป็นสัมโพชฌงค์ เป็นสัมมาสมาธิ เป็นธรรมวิจัยขึ้นมา ธรรมวิจัยในขันธ์ ธรรมวิจัยในกิเลส นั่นน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นมา

แล้วเราพบสิ่งนี้ เราพยายามทำสิ่งนี้ขึ้นมาก็เพื่อเข้าไปจับให้จากนามธรรมให้เป็นรูปธรรมขึ้นมา แล้ววิปัสสนาเข้าไปเป็นชั้นเป็นตอนของเราเข้าไป เข้าไป จนกว่าใจมันจะพลิกเป็นสิ่งที่ว่าถึงที่สุดของมัน ถึงที่สุดของการประพฤติปฏิบัติ ถ้าถึงที่สุดของการประพฤติปฏิบัติได้ ใจดวงนั้นมันก็เป็นอิสระเสรีภาพขึ้นมาได้

ถ้าประพฤติปฏิบัติเวียนอยู่ในการประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติหลงไป ท่องอยู่ในอารมณ์ของตัวเอง แล้วเข้าใจว่ามันเป็นธรรม มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราวนเวียนอยู่ที่นั่น ถ้าเราวนเวียน ก้าวเข้าเป็นมรรคอริยสัจจัง ก้าวออกนี้เป็นอัตตกิลมถานุโยค ก้าวออกนี่ตกร่องออกไปตลอดไป ถ้าก้าวถูกทางมันก็จะทำชำระกิเลสออกไปจากใจ ถ้าชำระกิเลสออกไปจากใจมันก็จะเป็นผลงานของใจ

นี่ใจมีอยู่ ใจมีอยู่ในร่างกายของเรา เกิดขึ้นมากับเราพร้อมกัน เกิดขึ้นมา จากท่องเที่ยวในวัฏฏะ เกิดดับ เกิดดับ ถ้าไม่ปฏิบัติธรรมมันก็ต้องเกิดดับอย่างนี้ตลอดไป ท่องเที่ยวไปในวัฏฏะนะ หมุนเวียนไปในวัฏฏะแสนทุกข์แสนยาก เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นอะไร

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเกิดเป็นนก เกิดเป็นกวาง เวลาพูดถึงว่า เวลาท่านย้อนอดีตชาติของท่านไป แล้วทำไมเราจะไม่เกิด เราเป็นปุถุชน เราเป็นมนุษย์ แล้วเราสร้างคุณงามความดีขนาดไหน เราต้องเคยทำความชั่วมา เราต้องเคยเกิดในสถานที่ต่างๆ นั่นน่ะ ท่องเที่ยวไปในวัฏฏะ ท่องเที่ยวไปอย่างนั้น แล้วปัจจุบันนี้ท่องเที่ยวมาขนาดไหน มาถึงปัจจุบันนี้แล้ว เราเห็นทางออกแล้ว มันจะไม่มีกำลังใจขึ้นมาจากไหน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสวงหาเอง ยังพยายามแสวงหา อันนี้ชุปมือเปิบ ชุปมือเปิบ ว่าศาสนาเป็นยาเสพติด ศาสนาเป็นยาเสพติด...มันติดไปไหน ถ้าติดขึ้นมา เราต้องติดขึ้นมา ติดขึ้นมาในหัวใจของเราบ้างสิ ถ้ามันติดขึ้นมาในหัวใจของเราขึ้นมาบ้างมันจะเป็นประโยชน์ของเราขึ้นมา นี้มันไม่ติดกันในหัวใจของเราขึ้นมา มันไปไหน มันหาไม่เจอ หาไม่เจอผลงานของเราไม่มี

ถ้าหาเจอ ปัจจัตตังเป็นแบบนี้ กิเลสขึ้นมา กับกิเลสอยู่ในหัวใจของสัตว์โลก กิเลสอยู่ในหัวใจของสัตว์ที่เวียนตายเวียนเกิดนี้ กิเลสมันอยู่ในหัวใจ เราก็ต้องหากิเลสที่นั่น หากิเลสที่ในหัวใจนั้น แล้วดับกิเลสในหัวใจนั้น ในหัวใจของดวงใจดวงใดดับกิเลสได้ ใจดวงนั้นเป็นผู้ที่พ้นออกไปจากความทุกข์

ความทุกข์ในวัฏฏะนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์นะ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “อานนท์ เรากระหายน้ำเหลือเกิน” ความหิวความกระหายเป็นทุกข์ประจำธาตุขันธ์นี้มันเป็นภาระ สิ่งที่เป็นภาระรับผิดชอบอยู่ ธาตุขันธ์ต้องรับผิดชอบกันไป มันก็เป็นภาระ ถ้าว่าเป็นความทุกข์ มันเป็นภาระ เป็นความทุกข์ของใจ ใจมันเข้าใจ ถ้าใจไม่มีความเข้าใจ มันเป็นความทุกข์ มันเป็นหน้าที่ต้องหาให้มัน แต่ถ้ามันเป็นความเข้าใจ นี้เป็นภาระต้องประคองกันไปให้ถึงที่สุด ให้ถึงที่สุดจุดหนึ่งแล้วมันก็สละทิ้งไป ตายแล้วไม่เกิดอีก

เกิดมาแล้วต้องตายหมด ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติก็ต้องตาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ปรินิพพานไปแล้ว ครูบาอาจารย์ของเราประพฤติปฏิบัติมาก็นิพพานไปแต่ละองค์ แต่ละองค์ไป มันต้องเป็นไปตามนี้ เกิดแล้วต้องตายหมด แต่สำคัญว่าตายแล้วจะเกิดอีกหรือไม่เกิดอีกถ้าไม่ชำระเชื้อออกไปจากใจ จิตนี้ยังท่องเที่ยวอยู่ต้องเกิดอีก ถ้าจิตนี้ดับเชื้อออกไปหมดแล้วไม่มีเชื้อออก มันจะท่องเที่ยวไปอีกไม่ได้เลย ท่องเที่ยวไปอีกไม่ได้เพราะการท่องเที่ยวในธรรมของเราขึ้นมา

ถ้าเราท่องเที่ยวของเราในธรรมขึ้นมา มันถึงจะไปกำจัดเชื้ออันนั้นได้ “ธรรมาวุธ” อาวุธโดยธรรมนี้ไปจำกัดกิเลสได้ ถ้ากิเลสกับกิเลสนั้นมันจะเพิ่มพูนขึ้นมา มันจะจำกัดกันไม่ได้ ความเห็นของกิเลสกับในหัวใจของเรามันอยู่โดยสภาวะของมันอยู่แล้ว มันจะเพิ่มพูนกันตลอดไป มันจะเพิ่มพูนให้เรามีมากขึ้นมา ต้องใช้ธรรมาวุธ ความเป็นธรรม ธรรมที่เกิดขึ้นจากเรา เป็นปัจจัตตังรู้จำเพาะใจของเรา

เราสร้างสมขึ้นมาจากใจของเรา มันเกิดขึ้นมาในใจของเรา แล้วก็ชำระประหารในใจของเราเป็นปัจจัตตังในหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเราเป็นปัจจัตตัง มันมีความรู้สึก มีความเข้าใจ มีความเห็นไปหมด นั่นน่ะ ดับที่ไหน เกิดที่ไหน ความเห็นของใจขาดที่ไหนจะเข้าใจ จะรู้ตามความเป็นจริงทั้งหมด รู้ตามความจริงว่ากิเลสมันขาดไปตั้งแต่ตรงไหนๆ แล้วย้อนกลับเข้ามาดู

แต่เดิมนะ ถ้าครูบาอาจารย์พ้นออกไปแล้ว พูดไป เรายังไม่สิ้นสุดไป เราจะลำดับเหตุการณ์ได้ไม่ตลอดรอบคอบ เราจะไม่รู้โดยเป็นชั้นเป็นตอน แต่ถ้าเราย้อนกลับขึ้นมา เราถึงที่สุดแล้วย้อนกลับขึ้นมา เหมือนคนเคยเดินทาง ถ้าเดินทางครั้งแรกไป ขณะเดินทางไปข้างหน้าเรายังไม่รู้อะไรเลย เราจะต้องพยายามดูหนทางขึ้นไป แต่ถ้าเราเคยเดินทางแล้ว เราย้อนกลับมาดูทาง เราจะชำนาญทางนั้นมาก

มรรค ๔ ผล ๔ สมุจเฉทปหานถึง ๔ หน เป็นบุคคล ๘ จำพวก โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผลนี้เป็นคู่หนึ่ง บุรุษ ๔ คู่ ๘ จำพวก มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ นิพพานนี้เกิดขึ้นมาจากใจดวงนั้น

มรรค ๔ ผล ๔ ต้องเป็นบุรุษ ๘ คนเชียวหรือ?

ไม่ใช่ เป็นคนคนนั้น แต่เปลี่ยนสภาวะจากโสดาปัตติมรรคเป็นโสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรคเป็นสกิทาคามิผล เลื่อนชั้นขึ้นไป เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป เป็นอกุปปธรรม จากความเสื่อมสภาพของมันเป็นเสื่อมสภาพตลอดไปจนไม่เสื่อมสภาพเป็นอกุปปธรรมในหัวใจนั้น บุรุษ ๔ จำพวก บุรุษ ๔ คู่ ๘ จำพวก นี้ใจเป็นอย่างนั้น ใจนี้สะสมขึ้นมา นั่นน่ะ ปัจจัตตังรู้ขนาดนั้น รู้ตามความเป็นจริงตลอดในหัวใจของสัตว์โลกนะ

สัตว์โลกเกิดขึ้นมามีความทุกข์ความยาก อันนี้น่าสงสาร วัฏวน จิตท่องเที่ยว เวลาจิตเราท่องเที่ยวไปในวัฏวน ในความทุกข์ความยาก อันนี้เราคงสงสารตัวเอง สัตว์โลกน่าสงสาร เราก็เป็นสัตว์โลกตัวหนึ่ง เราต้องสงสารตัวเรา ถ้าเราสงสารตัวเรา เราถึงจะหาทางออกของเราให้ได้ ถ้าเราไม่สงสารตัวเรา ถ้าสงสารตัวเรา ความประพฤติปฏิบัติก็เป็นของที่ว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรง

ถ้าเราไม่สงสารตัวเอง ความปฏิบัตินี้เป็นความทุกข์อันหนึ่ง นี่ทุกข์เพื่อจะพ้นจากทุกข์เป็นความทุกข์อันหนึ่ง เราก็ไม่อยากจะทำ แต่ถ้าเรามีเหตุผลว่า เราสงสารตัวเอง ความเพียรเพื่อจะพ้นจากความทุกข์มันสามารถสร้างขึ้นมาได้ เรามีค่า มีคุณค่าขึ้นมาในหัวใจของเรา เรามีแก่ใจทำงาน ถ้าเรามีแก่ใจทำงาน เราจะพ้นออกไปได้ เพราะมันมีเหตุ

เวลาธรรมฝ่ายเหตุมันต้องเกิดขึ้นมาแล้วมันจะมีธรรมฝ่ายผล เวลากิเลสมันเกิดขึ้นมา มันเกิดมาลอยๆ ไหม เพราะมันมีกิเลสในหัวใจ มันมีสมุฏฐานในหัวใจของเราขึ้นมา มันต้องหมุนออก มันต้องหมุนในตัวของมันเองก่อน นั่นน่ะ ภวาสวะเกิดจากตรงนี้ อวิชชาสวะเกิดขึ้นมา อนุสัยมันเกิดขึ้นมาจากในหัวใจ มันเกิดขึ้นมาเสร็จแล้วมันก็หมุนเวียนออกไป

นี้ก็เหมือนกัน หมุนกลับเข้ามา วนกลับเข้ามาชำระมันๆ ถ้ามันวนกลับเข้ามา สิ่งที่เราสร้างสมขึ้นมามันเป็นกำลังของเราขึ้นมา สร้างสมขึ้นมา สร้างสมขึ้นมาไม่ได้มันก็ชำระของเราไม่ได้ มันชำระกิเลสได้ นั่นน่ะ ใจมันก็พัฒนาขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป จนมันเวียนไป มันท่องเที่ยว เพราะมันท่องเที่ยวอย่างนี้ มันมีกำลังขึ้นมาอย่างนี้ มันถึงชำระกิเลสออกไปจากใจของสัตว์โลก มันเป็นปัจจัตตัง รู้จำเพาะใจดวงนั้น เอวัง